กองทัพเรืออินโดฯ ยืนยัน พบซากเรือดำน้ำ – ลูกเรือดับยกลำ
จากกรณีเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอินโดนีเซียได้มีการประกาศออกมาว่า เรือดำน้ำ เคอาร์ไอ นังกาลา 402 ของกองทัพอินโดนีเซียเกิดการสูญหายระหว่างกำลังฝึกซ้อมรบทางยุทธวิธี ล่าสุดมีรายงานระบุว่าค้นพบซากเรือดำน้ำลำดังกล่าวแล้ว สภาพหักเป็น 3 ท่อน ยืนยันลูกเรือทั้ง 53 คนเสียชีวิต
ซึ่งจากกรณีดังกล่าวทำให้มีประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย ฯลฯ ได้ร่วมปฏิบัติการค้นหาเรือลำดังกล่าว จนกระทั่งวันนี้ (26 เมษายน 2564) ผู้สื่อข่าวได้มีการรายงานว่ากองทัพเรืออินโดนีเซีย ได้มีการเปิดเผยภาพของเรือดำน้ำ เคอาร์ไอ นังกาลา 402 เป็นสภาพของซากเรือที่กำลังจมอยู่ในก้นทะเลบาหลีที่ระดับความลึกกว่า 800 เมตร โดยเรือดำน้ำลำนี้ได้แยกออกจากกันเป็น 3 ส่วน คือบริเวณหัวเรือ ตัวเรือ และท้ายเรือ นอกจากนี้ทีมค้นหายังได้พบเสื้อชูชีพและพรมสำหรับปูละหมาดของลูกเรืออีกด้วย

หลังจากนั้นผู้บัญชาการกองทัพอินโดนีเซีย ได้มีการแถลงการณ์ยืนยันว่าลูกเรือทั้ง 53 นายเสียชีวิตแล้ว พร้อมแสดงความเสียใจไปต่อครอบครัวของลูกเรือที่เสียชีวิต ทั้งยังย้ำอีกว่าเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะความผิดพลาดของมนุษย์ เนื่องจากลูกเรือทุกนายปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆ ทุกประการแล้ว
สำหรับโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมที่เกี่ยวกับเรือดำน้ำครั้งแรกของประเทศอินโดนีเซียเลยก็ว่าได้ และจากข้อมูลของกระทรวงกลาโหม ได้มีการระบุเอาไว้ว่า เรือดำน้ำเคอาร์ไอ นังกาลา 402 มีน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 1,395 ตัน (ไม่รวมสัมภาระ) ถูกสร้างขึ้นที่ประเทศเยอรมนีในปี 1977 และเข้าประจำการในกองทัพเรืออินโดนีเซียในปี 1981 มันเคยผ่านการยกเครื่องปรับปรุงเป็นเวลา 2 ปีในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งแล้วเสร็จในปี 2012 ที่ผ่านมา

ซึ่งทางตำรวจอินโดนีเซียได้ทำการส่งคณะทำงานไปยังทะเลบาหลีและเมืองบันยูวางี บนเกาะชวา ที่ตั้งเป็นฐานทัพเรือเพื่อเป็นศูนย์บัญชาการหลักในการปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยในครั้งนี้ เพื่อต้องการระบุเอกลักษณ์ของผู้เสียชีวิตหลังที่ได้เก็บกู้ศพขึ้นมาแล้ว
เหตุการณ์ครั้งนี้กระตุ้นให้ชาวบ้านในบันยูวางี ออกมาร่วมมือกันกับประชาชนทั่วทั้งประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเรียกร้องให้ประเทศปรับปรุงกองกำลังป้องกันตนเองของอินโดนีเซียให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยในรายงานมีชาวบ้านคนหนึ่งพูดว่า “มันสามารถเป็นจุดเรียนรู้สำหรับรัฐบาล ให้ปรับปรุงพัฒนาเทคโนโลยีของกองทัพ และระมัดระวังในการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เพราะว่ามันทำให้ชีวิตคนของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยง”
สุดท้ายนี้ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตอย่างสุดซึ้ง และหวังว่าโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรงในครั้งนี้ จะเป็นโศกนาฏกรรมทางน้ำสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับคนบนโลกของเรา
ข้อมูลจาก : Thai PBS