Monday Sep 25, 2023

เฟซบุ๊ก-ไอจี ถูกสั่งปิด! ประชาชนเมียนมาเดินหน้าต่อต้านรัฐประหาร

ประชาชน-บุคลากรแพทย์เมียนมา ร่วมต่อต้านรัฐประหาร จากกรณีที่เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา คณะรัฐประหารได้ทำการยึดอำนาจการบริหารประเทศเมียนมาจากพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซูจี โดยให้เหตุผลว่า ‘มีความจำเป็น’ นั้น ขณะนี้ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตในเมียนมาเริ่มเข้ามาจำกัดการเข้าถึง Facebook อินสตาแกรม รวมไปถึงแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่ไว้ใช้สำหรับการสนทนา จึงทำให้ในขณะนี้ประชาชนในประเทศเมียนมาเริ่มติดต่อสื่อสารกันยากลำบากยิ่งขึ้น โดยทางกระทรวงคมนาคมและการสื่อสารได้มีคำสั่งให้ผู้บริการโทรศัพท์มือถือและผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตผิดการเข้าถึงแอปพลิเคชั่นดังกล่าว ไปจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งอ้างว่าสาเหตุที่ต้องทำเช่นนี้เพราะสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เป็นเครื่องมือที่เผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ทั้งยังมีเนื้อหาที่ยั่วยุ ไม่เป็นความจริง ที่สำคัญโซเชียลมีเดียยังเป็นช่องทางสำคัญในการต่อต้านรัฐประหารของบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลในเมียนมาทั่วประเทศ พวกเขาชี้ว่า การก่อการยึดอำนาจของกองทัพเป็นการเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองเหนือความทุกข์ยากของประชาชนจากเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้นักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมายังได้นัดจัด ‘อารยะขัดขืน’ เพื่อต่อต้านรัฐบาลทหาร ซึ่งนับเป็นครั้งแรกหลังเหตุรัฐประหารที่ได้มีการนัดหมายการทำกิจกรรมดังกล่าว ทั้งยังมีการรายงานเพิ่มเติมอีกว่าเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลรวมไปถึงหน่วยงานด้านสาธารณสุข 70 แห่ง ใน 30 เมืองทั่วประเทศยังได้นัดกันหยุดงานเพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านรัฐประหารที่ไม่เป็นธรรมในครั้งนี้ แม้แต่ประชาชนชาวเมียนมาเองก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลทหาร โดยประชาชนบางส่วนในนครย่างกุ้งที่เป็นเมืองหลวงของเมียนมา ได้พากันออกมาบีบแตรบนท้องถนน และเคาะภาชนะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น หม้อ กาต้มน้ำ กะละมัง ฯลฯ เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าต้องการขับไล่รัฐบาลทหาร ตามความเชื่อดั้งเดิมที่ว่าต้องตีภาชนะให้เกิดเสียงเพื่อเป็นการขับไล่ดวงวิญญาณชั่วร้าย […]

กองทัพเมียนมาปล่อยตัวนักการเมือง แต่ยังไร้เงา ‘อองซาน ซูจี’

พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ยืนยันรัฐประหารคือความ ‘จำเป็น’ ซึ่งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากกรุงเนปิดอว์ว่า พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา ได้กล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมียนมาชุดใหม่ ในกรุงเนปิดอว์ ว่า “แม้ทัตมาดอว์ (กองทัพเมียนมา) จะเรียกร้องหลายครั้งให้มีการตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้งแห่งชาติ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ของปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติ ดังนั้นการรัฐประหารจึงไม่มีทางเลี่ยง เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ” นอกจากนี้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ยังกล่าวอีกว่า ทัตมาดอว์จำเป็นต้องควบคุมดูแลประเทศ จนกว่าจะมีการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และในช่วงเวลา 1 ปี ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินนับจากนี้ การเลือกตั้งและการต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 จะเป็นภารกิจหลักเร่งด่วนของการรัฐประหาร ทางด้านนายจี โต สมาชิกคณะกรรมการบริหาร พรรคสันนิบาติแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ได้เผยผ่านทาง Facebook ในวันเดียวกันว่า เขาได้รับทราบข่าวว่านางออง ซาน ซูจี ผู้นำคนสำคัญของเอ็นแอลดี ยังสบายดีอยู่ในสถานที่ควบคุมของกองทัพ […]

มาริลีน แมนสัน ศิลปินร็อกถูกปลดจากค่ายเพลง หลังถูกแฉทำร้ายร่างกายแฟนสาว

จุดจบสายโหด มาริลีน แมนสัน ถูกปลดจากค่ายเพลงแล้ว! เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เอแวน เรเชล วู้ด นักแสดงหญิงจากซีรีส์เรื่องดัง Westworld ได้โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัวเกี่ยวกับช่วงเวลาอันเลวร้าย โดยเนื้อหาได้กล่าวถึงช่วงเวลาที่คบหากับ มาริลีน แมนสัน ศิลปินร็อกชื่อดังเมื่อหลายปีก่อน ว่าเขาพยายามควบคุมเธอตั้งแต่สมัยที่เธอยังเป็นวัยรุ่น รวมทั้งทำร้ายร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัสเป็นเวลาหลายปี “ฉันถูกล้างสมองและถูกปั่นหัวจนตกเป็นเหยื่อ ตอนนี้ฉันเบื่อที่จะต้องกลัวการถูกแก้แค้น ถูกใส่ร้าย หรือถูกแบล็กเมล์ ฉันอยากจะเปิดโปงคนอันตรายคนนี้ต่อคนในวงการที่เคยช่วยเหลือเขา ก่อนที่เขาจะทำลายชีวิตคนอื่นต่อไป” วู้ดกล่าว หลังจากที่วู้ดได้โพสต์เรื่องราวดังกล่าว ก็มีผู้หญิงอีกอย่างน้อย 4 คน ออกมาแชร์ประสบการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นโดยฝีมือของแมนสัน ซึ่งหลายคนมีภาวะเครียดหลังจากประสบเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ (PTSD) และเป็นโรคทางจิตเวชต่าง ๆ โดยเหยื่อรายหนึ่งระบุว่า หลังจากที่หลุดพ้นจากแมนสัน เธอยังคงได้ยินข่าวฉาวเกี่ยวกับอดีตแฟนหนุ่ม เธอไม่อาจทนให้เรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นกับคนอื่น ๆ และแมนสันต้องรับผิดชอบกับการกระทำของเขา มาริลีน แมนสัน เริ่มคบหาดูใจกับเอแวน เรเชล วู้ด ในปี 2006 ขณะที่วู้ดมีอายุเพียง 18 ปี โดยมีกระแสข่าวกอสสิปถึงความสัมพันธ์รัก ๆ เลิก […]

ธารน้ำแข็งของพันสายของจีน เริ่มละลายเพราะภาวะโลกร้อน!

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตามองมากในขณะนี้ เพราะทาง BBC ได้มีการรายงานว่า ธารน้ำแข็งหลายพันสายในประเทศจีน กำลังจะละลายหายไป เพราะโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพภูมิอากาศ โดยภาพนี้เป็นภาพถ่ายมุมสูงจากโดรน ซึ่งเผยให้เห็นว่า ธารน้ำแข็งหลายพันสายในเทือกเขาฉีเหลียน ที่ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน กำลังจะละลายหายไปเนื่องจากสภาพอากาศที่มีการแปรปรวนอย่างหนัก โดยเทือกเขาฉีเหลียนตั้งอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างมณฑลกานซูกับมณฑลชิงไห่ มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 เมตร และมีธารน้ำแข็งรวมแล้วกว่า 3,000 สาย ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ธารน้ำแข็งคดเคี้ยวที่มีความยาวราว 800 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากยุคน้ำแข็ง แต่ในขณะนี้เริ่มละลายหายไปทีละน้อย และมีโอกาสที่ธารน้ำแข็งเหล่านี้จะละลายหายไปตลอดกาล โดยผลการสำรวจของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีการระบุเอาไว้ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของท้องถิ่นจะสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส นับตั้งแต่ทศตวรรษที่ 1950 และทีมนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์ประเทศจีน ได้เฝ้าดูตำแหน่งการละลายและถอยร่นของธารน้ำแข็ง ซึ่งธารน้ำแข็งมีการถอยร่นมากกว่า 150 เมตร ถือเป็นการหดตัวที่เล็กลงในอัตราความเร็วที่น่าตกใจ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้น้ำแข็งที่ละลายได้ไหลลงสู่พื้นเบื้องล่างเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันที่ประเทศไอซ์แลนด์ น้ำแข็งปริมาณมหาศาลก็กำลังจะละลายหายไปจากธารน้ำแข็งแห่งใหญ่หลายแห่ง ซึ่งภาพด้านบนเป็นภาพเปรียบเทียบของธารน้ำแข็งในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 กับปัจจุบัน ซึ่งทางทีมงานจากมหาวิทยาลัยดันดี ของสกอตแลนด์ และมหาวิทยาลัยไอซ์แลนด์ได้ทำชุดภาพเปรียบเทียบความแตกต่างของธารน้ำแข็งใน 2 ยุค […]

ชนเผ่าชูมาช อดีตใช้ดอกลำโพงเป็นสารประสาทหลอนในพิธีกรรม

เชื่อได้เลยว่าหลายคนคงต้องคุ้นกับสัญลักษณ์สีแดงที่ปรากฏบนเพดานของ ‘ถ้ำกังกัน’ (Pinwheel Cave) ที่ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียอย่างแน่นอน ซึ่งหลายคนคงจะกำลังจินตนาการว่ามันเป็นกังหันสีแดงที่คล้ายกับการกำลังหมุนอยู่ แต่สิ่งนี้อาจจะไม่ใช่กังหันแบบที่คุณคิดอีกต่อไป เพราะมันเป็นรูปของดอกลำโพงขณะที่กำลังแย้มบาน และดอกลำโพงนี้ถือเป็นดอกไม้ชนิดที่ใช้เป็นสารหลอนประสาทในพิธีกรรมบางอย่างชองชนพื้นเมืองอเมริกันมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 16 ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา และในสหราชอาณาจักร ได้มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาข้างต้นในวารสาร PNAS ฉบับล่าสุด โดยชี้ว่าได้มีการพบหลักฐานที่ชนเผ่าชูมาช ที่ได้มีการใช้ดอกลำโพง หรือ Datura wrightli หลอนประสาทผู้คนให้เกิดอาการมึนเมาและตกอยู่ในภวังค์ ขณะกำลังประกอบพิธีเปลี่ยนผ่านวัยเด็กเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ซึ่งจากการศึกษานั้นได้มีการพบกากของดอกลำโพงในลักษณะที่ผ่านการถูกเคี้ยวแล้วคายออกมา แปะอยู่ใกล้กับสัญลักษณ์รูปกังหันบนเพดานถ้ำหลายชิ้น โดยซากดอกไม้เหล่านี้มีอายุเก่าแก่เกือบ 500 ปี ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เป็นก้อนลักษณะคล้าย ๆ กับหมากฝรั่ง ที่มีร่องรอยของรอยฟันและส่วนประกอบของน้ำลายปะปนอยู่ด้วย นอกจากนี้แล้วในผลการวิเคราะห์ยังพบว่ามีสารที่เป็นยาหลอนประสาทชนิด ‘สโคโปลามีน’ และ ‘อะโทรพีน’ ซึ่งพบว่ามันอยู่ฝนดอกลำโพง ทำให้ทีมผู้วิจัยได้ชี้ว่านี่คือหลักฐานโดยตรงชิ้นแรกของโลก สำหรับการบริโภคหรือการนำเอาสารหลอนประสาทเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ที่ชัดเจนที่สุดในยุคโบราณ และยังเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญชิ้นแรก เพราะมันถูกพบในโบราณสถานซึ่งมีร่องรอยงานศิลปะบนก้อนหินอีกด้วย นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเซนทรัลแลงคาเชียร์ของสหราชอาณาจักรซึ่งเป็นผู้นำทีมวิจัย ‘ดร.เดวิด โรบินสัน’ ได้บอกว่า จากหลักฐานที่ค้นพบเพิ่มเติม สามารถทำให้มั่นใจได้ว่าสัญลักษณ์รูปกังหันที่วาดด้วยดินแดงนั้น ไม่ได้สื่อความหมายถึงกังหันลมหรือสัญลักษณ์ทางนามธรรมที่วาดขึ้นจากภาพหลอนที่เห็นในขณะที่หลอนจากสารเสพติดแต่อย่างใด แต่นี่คือสัญลักษณ์ที่มีการสื่อความหมายของดอกลำโพงตอนกำลังแย้มบานในช่วงเช้าตรู่และช่วงพลบค่ำเพื่อผสมเกสรอย่างตรงตัว ซึ่งในช่วงเวลาที่กล่าวมานี้มีลักษณะรูปทรงคล้ายคลึงกับกังหันลมอย่างมาก อีกทั้ง ชนเผ่าชูมาชยังได้ใช้ดอกลำโพงเป็นยารักษาโรคหลายชนิด รวมไปถึงใช้เป็นเครื่องรางในการขจัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ป้องกันภูตผีปีศาจ และใช้ในการทำนายโชคชะอีกด้วย และยังมีการคาดการณ์ว่าสัญลักษณ์บนเพดานถ้ำกังหัน […]

เทคนิคส่องมัมมี่โบราณแบบไม่ต้องเปิดออก ด้วยซีทีสแกนและรังสีเอกซ์

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา CNN ได้มีการรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นเทคนิคใหม่ที่ช่วยไขเบาะแสเกี่ยวกับมัมมี่อียิปต์ในยุคโรมัน ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 1,900 ปี ที่มีการค้นพบในเขตโบราณสถานฮาวาราของประเทศอียิปต์ โดยเทคนิคนี้ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ ซีที (Computed tomography:CT) และการเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์ (X-ray diffraction) จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องแตะต้องหรือเปิดโบราณวัตถุออกแต่อย่างใด ซึ่งเทคนิคพิเศษนี้จะมีความแตกต่างจากการใช้รังสีเอกซ์ถ่ายภาพโดยไม่ล้วงล้ำเข้าสู่มัมมี่เหมือนที่ผ่านมา ในวารสารวิทยาศาสตร์ราชสมาคม (Journal of the Royal Society) ของประเทศอังกฤษได้มีการตีพิมพ์การค้นพบดังกล่าวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเป็นของคณะนักวิจัยอเมริกันจากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น ร่วมกันกับห้องปฏิบัติการแห่งชาติอาร์กอนน์ และมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเมโทรโพลิแทนเดนเวอร์ ได้มีการอธิบายการใช้งานร่วมกันระหว่างซีทีสแกนและการเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์ โดยนักวิจัยจากโรงเรียนการแพทย์ไฟน์เบิร์ก มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น ‘สจ๊วต สต๊อก’ ซึ่งเป็นผู้นำในการเขียนการศึกษานี้ ได้กล่าว่า ผู้เชี่ยวชาญใช้ลำแสงรังสีเอกซ์ ที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นมนุษย์ ส่องเข้าไปในมัมมี่ ที่ได้มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเด็กหญิงวัย 5 ขวบ เพื่อระบุวัตถุภายในห่อผ้าของโบราณวัตถุ และได้ใช้ซีทีสแกนสร้างแผนผังส่วนประกอบของมัมมี่ ซึ่งรังสีเอกซ์ช่วยให้คณะนักวิจัยได้สิ่งที่มีลักษณะเหมือนกับลายนิ้วมือ ที่มีลักษณะเฉพาะของวัตถุโบราณ และพบแคลเซียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์มาก ๆ ในมัมมี่ […]

หนุ่มอินโดสุดช้ำ ไม่ได้เงิน 56 ล้านบาท จากอุกกาบาตตามที่คาดเอาไว้!

ทุกคนเคยวาดความฝันไว้หรือไม่คะ ว่าวันนึงจะมีโชคใหญ่หล่นลงมาทับบ้านของเราจริง ๆ โดยเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้วกับหนุ่มทำโลงศพชาวอินโดนีเซีย วัย 33 ปี เขามีชื่อว่า ‘โจชัว ฮุทากาลุง’ อาศัยอยู่ในทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา โดยเขาเล่าว่าขณะที่กำลังต่อโลงศพอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีหินอุกกาบาตพุ่งทะยานลงมาที่ระเบียงห้องนั่งเล่น โดยหินนั้นมีมูลค่ามากถึง 56 ล้านบาท แต่นั่นกลับกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิด ซึ่งล่าสุด หนุ่มอินโดฯคนนี้ ได้ออกมาบอกกับหนังสือพิมพ์เดอะสตาร์ของมาเลเซียว่า ตอนนั้นเขาได้ขายมันไปแค่ 200 ล้านรูเปียห์หรือประมาณ 14,000 ดอลลาร์ (เทียบกับเงินไทยประมาณ 425,782 บาท) โดยย้อนไปเมื่อเหตุการณ์อุกกาบาตตกในครั้งนี้ จะอยู่ในช่วงราว ๆ เดือนสิงหาคม ซึ่งขณะนั้นทั่วโลกได้หยุดชะงักการเดินทางเพราะสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดอย่างหนัก ‘จาเร็ด คอลลินส์’ ชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในอินโดนีเซีย ได้รับการติดต่อจากนักสะสมที่หลงใหลอุกกาบาตในสหรัฐฯ ให้เดินทางไปติดต่อซื้อกับโจชัว เมื่อคอลลินส์เดินทางไปถึงก็ตกลงซื้อขายกันด้วยความยุติธรรม และเมื่อไม่นานนักข่าวก็เริ่มตีมูลค่าของอุกกาบาตชิ้นนั้นในตัวเลขที่สูงขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โจชัวออกมาแสดงความไม่พอใจต่อสื่อ และเกิดความรู้สึกว่าถูกโกง เพราะหลายสื่อระบุว่าเขาจะได้เงินจำนวน 56 ล้านบาทจากอุกกาบาตดังกล่าว ลอเรนซ์ การ์วี ศาสตราจารย์ผู้วิจัยด้านการสำรวจโลกและอวกาศ แห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา ได้กล่าวกับสำนักข่าว BBC ว่า […]

Back to Top